คุณ "กัลปพฤกษ์" หนึ่งในคณะกรรมการรอบคัดเลือกรางวัลซีไรต์ปี 2562
ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับหนังสือกวีนิพนธ์ที่เข้ารอบซีไรต์ไว้ในเว็บ
artyhouse.studio ขอนำมาเสนอบางส่วนดังนี้
"ขอชี้แจงเช่นเดิมว่าการประกวดในรอบปี พ.ศ. ๒๕๖๒ นี้ ‘กัลปพฤกษ์’ ได้รับเชิญไปร่วมเป็นกรรมการรอบคัดเลือก เพื่อเฟ้นสรรงานกวีนิพนธ์ที่ส่งประกวดจำนวน ๖๖ เล่ม เข้าสู่รอบ Longlist และ Shortlist ด้วย ดังนั้นโดยมารยาทแล้วการเขียนถึงผลงานที่เข้ารอบ Shortlist รางวัลซีไรต์ในครั้งนี้ จะไม่ขอเขียนในลักษณะการวิจารณ์เต็มรูปแบบ แต่จะเขียนในเชิงรีวิว แนะนำหนังสือกวีนิพนธ์ที่ผ่านเข้ารอบแต่ละเล่มว่ามี เนื้อหา ลีลา และความโดดเด่น ในแง่ใดกันบ้าง โดยมีจุดประสงค์เพื่อชักชวนให้ผู้ที่สนใจ ได้ลองหามาอ่านและแสดงทรรศนะขนานไปกับคณะกรรมการ สร้างบรรยากาศการอ่านงานกวีนิพนธ์ให้คึกคักไม่แพ้บทประพันธ์ประเภทอื่น ๆ เช่น นวนิยาย หรือรวมเรื่องสั้นเลย
สำหรับหนังสือกวีนิพนธ์ที่ผ่านเข้าสู่รอบ Shortlist รางวัลซีไรต์ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ มีรายชื่อตามลำดับตัวอักษรดังนี้
๑. การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง โดย ธัชชัย ธัญญาวัลย
(สำนักพิมพ์อาร์ตี้เฮ้าส์ พิมพ์ครั้งที่สอง เพิ่มเติมเนื้อหา)
การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง เป็นงานกวีนิพนธ์ที่น่าจะสดแปลกแหวกแนวและล้ำสมัยที่สุดในบรรดากวีนิพนธ์ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายมาในปีนี้ ประกอบไปด้วยบทกวีไร้ฉันทลักษณ์ ที่ ธัชชัย ธัญญาวัลย อธิบายความหมายของถ้อยคำต่าง ๆ เช่น ‘ความเป็นจริง’ ‘ศีลธรรม’ ‘ความผิดบาป’ ‘ความย้อนแย้ง’ ‘ความสำเร็จ’ ‘ความสมบูรณ์’ ‘ความเกรี้ยวกราด’ ‘ความผิดหวัง’ ในลักษณะของการถกปรัชญา เพื่อสะท้อนว่า นิยามเหล่านี้ ไม่เคยมีข้อตกลงที่ตายตัวหรือเที่ยงแท้ว่าควรจะแปลความหมายออกมาทางใด แต่ละคนก็อาจมีมุมมองต่อคำ ๆ เดียวกันที่แตกต่างหลากหลายได้ แถมในบางครั้งความหมายก็อาจย้อนแย้งกลับไปกลับมา สร้างภาวะแบบปฏิทรรศน์ หรือ paradox ที่ชวนให้รู้สึกว่า แท้แล้วสองสิ่งซึ่งเราเคยเข้าใจว่าเป็นคู่ขั้วตรงข้ามกัน อาจมีต้นกำเนิดมาจากสิ่งเดียวกันก็เป็นได้ เช่น ในบท “เมื่อกล่าวถึง ความเกลียดชัง”
ในเหง้าที่งอกหน่อแห่งความรัก
ออกมาเป็นลำต้น กิ่ง ใบ และ ดอก ผล
คือเหง้าเดียวกับที่งอกหน่อแห่งความเกลียดชัง
เมื่อความเกลียดชังได้เติบโตขึ้น
จนบางครั้งเบียดเบียนความรัก
เราก็จะเป็นผู้ที่มีความเกลียดชัง
ลำต้น กิ่ง ใบ และ ดอก ผล
ของความเกลียดชัง
ย่อมสะพรั่งพร้อมแสดงปาฏิหาริย์…
ลีลายุกยิกยียวนก่อกวนทุกขนบดั้งเดิมในแบบหลังสมัยใหม่หรือ post-modernism ของกวีนิพนธ์เล่มนี้ ได้สะท้อนมุมมองความคิดแบบคนร่วมสมัย ที่อาศัยคำกลอนอิสระมาเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด ผ่านวรรณศิลป์ภาษาที่พยายามสื่อประเด็นความคิดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มุ่งเน้นการประดิดประดอย มีการใช้สัญลักษณ์หรือวิธีการบุคลาธิษฐานอยู่บ้าง หากจินตภาพที่ได้จะสอดคล้องกับมุมมองที่กวีต้องการจริง ๆ เช่นในบท “เมื่อกล่าวถึง ความโง่เขลา”
เมื่อเราปรารถนาจะออกจากความโง่เขลา
ความโง่เขลาที่เราเผชิญหน้าอยู่
ก็จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเรา
ราวกับจะถามว่า
แน่ใจแล้วหรือ
และเมื่อเรากะพริบตา…
อย่างโง่เขลา
เพียงเท่านั้น
ความโง่เขลาก็กลายร่างเป็นความฉลาด…
ได้อ่าน การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง แล้ว ก็ชวนให้นึกย้อนไปถึงลีลาลักษณะคล้าย ๆ กันในงานกวีนิพนธ์ร้อยแก้ว หรือ prose poetry ชื่อ The Prophet (1926) ของ คาลิล ยิบราน ซึ่งเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ และได้รับการถอดความเป็นภาษาไทยในชื่อ ปรัชญาชีวิต โดย ระวี ภาวิไล ที่ให้นักปราชญ์มาอธิบายความหมายของคำแต่ละคำซึ่งย้อนแย้งกับนิยามเดิมที่เราเคยรับรู้ผ่านการปลูกฝังกันมาเช่นเดียวกัน เพียงแต่น้ำเสียงและเนื้อหาของ ธัชชัย ธัญญาวัลย ใน การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง จะมีความร่วมสมัยมากกว่า ทั้งยังสามารถอธิบายภาวะหลังสมัยใหม่ในโลกปัจจุบันได้อย่างดี โลกใบที่ความโลเลไม่แน่นอน ได้กลายมาเป็นสรณะแห่งทุกสรรพสิ่งไปเสียแล้ว
การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ A Fool’s Guide to Making a Fool of Yourself โดยฝีมือการแปลของ Cholatep Nabangchang ซึ่งก็แปลได้ไพเราะงดงาม จนสามารถนำมาอ่านเป็นภาคต่อยุคปัจจุบันของ The Prophet โดย คาลิล ยิบราน ต้นฉบับภาษาอังกฤษได้อย่างดี"
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.thaicritic.com/?p=4256